เมื่อผู้คนใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น และต้องการการเดินทางที่สะดวกสบาย การซื้อรถยนต์จึงเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้จำนวนรถบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อุบัติเหตุบนท้องถนนจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้การมีประกันรถยนต์กลายเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์และบุคคลภายนอก
ปัจจุบัน ประกันรถยนต์แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 2+ ชั้น 3 และ ชั้น 3+ แต่ละชั้นมีความคุ้มครองที่แตกต่างกัน โดยประกันรถยนต์ชั้น 2+ เป็นประกันรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมและราคาไม่แพง โดยประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองครอบคลุมดังนี้
- ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย ครอบคลุมความเสียหายต่อตัวถัง เครื่องยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า กระจก และยางรถยนต์ กรณีเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าผู้เอาประกันภัยจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด
- ความเสียหายต่อรถยนต์ของคู่กรณี (กรณีเป็นฝ่ายถูก) ครอบคลุมความเสียหายต่อตัวถัง เครื่องยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า กระจก และยางรถยนต์ กรณีเกิดอุบัติเหตุ ที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูก
- ค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร กรณีเกิดอุบัติเหตุ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
- ค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณี กรณีเกิดอุบัติเหตุ คุ้มครองค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณี เช่น บ้านเรือน ร้านค้า ต้นไม้ เสาไฟฟ้า เป็นต้น
ข้อดีของประกันรถยนต์ชั้น 2+
- ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งตัวรถยนต์ของตนเองและรถยนต์ของคู่กรณี ครอบคลุมความเสียหายทั้งต่อตัวถัง เครื่องยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า กระจก และยางรถยนต์ หากเกิดอุบัติเหตุในทุกกรณี
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ช่วยให้ผู้ประสบอุบัติเหตุได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที
- คุ้มครองค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณี ช่วยให้ผู้ประสบอุบัติเหตุได้รับการชดเชยความเสียหายตามความเหมาะสม
- ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยประกันภัยประกันรถยนต์ชั้น 2+ โดยทั่วไปจะต่ำกว่าเบี้ยประกันภัยประกันรถยนต์ชั้น 1 ประมาณ 20-30%
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เหมาะกับใคร?
ประกันรถยนต์ประเภทนี้ เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แต่ต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งตัวรถยนต์ของตนเองและรถยนต์ของคู่กรณี เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่มีทักษะในการขับขี่ที่ดี และขับรถด้วยความระมัดระวัง
การเลือกประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ตอบโจทย์
- ควรเลือกวงเงินเอาประกันภัยให้เหมาะสมกับมูลค่ารถยนต์ของตนเอง โดยทั่วไปแล้ว วงเงินเอาประกันภัยจะอยู่ที่ 100,000 บาท หรือมากกว่า
- ควรเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยจากหลายบริษัท เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาท ต่อปี
- ควรศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครองอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น เงื่อนไขการเคลมประกัน เงื่อนไขการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรเลือกบริษัทประกันที่เชื่อถือได้ มีความมั่นคงทางการเงิน และให้บริการหลังการขายที่ดีด้วย
ถือได้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 2+ เป็นประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งตัวรถยนต์ของตนเองและรถยนต์ของคู่กรณีที่ราคาไม่แพง เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แต่ต้องการความคุ้มครองที่เพียงพอ เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเพื่อคนใช้รถอย่างแท้จริง